เมื่อหลายประเทศ ‘ไม่วางใจกัน’ การลงทุนทางการทหารกลายเป็นเรื่องจำเป็น

20/11/2025



ในช่วง 3-4 ปีมานี้ เรามักเห็นข่าวเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกากับจีน, ยุโรปกับรัสเซีย, ไทยกับกัมพูชา และล่าสุดจีนกับญี่ปุ่น ภาพรวมของการใช้จ่ายทางการทหารทั่วโลกโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% ในปี 2020-2024 ที่ผ่านมาและเร่งตัวสูงขึ้นโตถึง 9.4% ในปี 2024

UN ประเมินว่าถ้าสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นแบบนี้ การใช้จ่ายทางการทหารอาจสูงขึ้นจาก US$ 2.7 ล้านล้าน ในปี 2024 สูงขึ้นไปได้ถึง $US 4.7-6.6 ล้านล้าน ในปี 2035 หรือเติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 6% ทั่วโลก ปีนี้ NATO ตกลงร่วมกันว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายทางการทหารให้สูงขึ้นจาก 2% เป็น 3.5% ของ GDP ในปี 2035 

อุตสาหกรรมนี้ไม่ได้จำกัดแค่ผู้ขายและผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง Software ต่างๆ เช่น ระบบการสื่อสารในทางการทหาร, ระบบบังคับบัญชาการรบ, ระบบข้อมูล, เรดาร์, ระบบควบคุมยานเกราะต่างๆ รวมไปถึงชิ้นส่วนอากาศยานสำหรับฝั่งพาณิชย์ด้วยเช่นกัน

ผู้ที่ใช้จ่ายในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศมากที่สุดในอดีต คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนการใช้จ่ายประเทศเดียวสูงถึง 37% ของการใช้จ่ายทั้งโลกรวมกัน ตามมาด้วยจีนและรัสเซียที่คาดว่าสูงถึง 12% และ 5.5% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ประเทศที่น่าสนใจในระยะสั้นจากนี้ คือ กลุ่มประเทศในยุโรป 

ปี 2024 ยุโรปมีการใช้จ่ายที่เติบโตขึ้นกว่าที่อื่นเพราะมีความขัดแย้งกับรัสเซีย แต่เมื่อรวมกับการลดการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกา ยุโรปจึงต้องเร่งลงทุนสร้างอุตสาหกรรมนี้ขึ้นมาใหม่ในภูมิภาค ทำให้มีเม็ดเงินที่จะเติบโตขึ้นได้กลายเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน

สำหรับนักลงทุนที่สนใจธีมนี้ มีกองทุนที่น่าสนใจ 2 กองทุน

[1] DAOL-DEFENSE

ลงทุนในกองทุนหลัก VanEck Defense UCITS ETF (DFNS) ซึ่งมีนโยบายลงทุนให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี MarketVector Global Defense Industry Index Net TR ดัชนีนี้จะคัดหุ้นที่ขายอาวุธเคมี อาวุธชีวภาพที่สามารถสังหารคนทั่วไปแบบไม่เลือกหน้าได้ออกไปก่อน จากนั้นจะเลือกหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้หลักเกิน 50% จากอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ  กระจายการลงทุนไปประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ โดยใส่น้ำหนักไปที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ใช้จ่ายด้านนี้มากที่สุดในโลก

[2] ASP-DEFENSE
(IPO 21-27 พ.ย. 68)

กองทุนนี้มีนโยบายแบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วน คือ  (2.1) ลงทุนในกองทุนหลัก VanEck Defense UCITS ETF เช่นกัน 0-40% (2.2) ลงทุนเงินส่วนใหญ่ 60-80% ในกองทุนหลักใหม่ Amundi STOXX Europe Defense UCITS ETF (DEFS) มีเป้าหมายลงทุนให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี STOXX Europe Total Market Defense Capped Index ซึ่งคัดเลือกบริษัทในอุตสาหกรรม Defense ในยุโรปเท่านั้น สอดคล้องกับพื้นฐานที่ยุโรปจะต้องเร่งใช้จ่ายด้านการทหารเพิ่มขึ้นอย่างมากไปจนถึงปี 2030 (2.3) กองทุนเลือกลงทุนหุ้นโดยตรงไม่เกิน 20% ณ วัน IPO กองทุนมีแผนจัดสัดส่วนการลงทุนเป็น 75:25:0 ตามลำดับ

✅ มุมมองจากทีม Beyond Wealth

ทั้งสองกองทุนเป็นกองทุนที่ลงทุนเฉพาะในอุตสาหกรรมกลุ่มเดียว ใช้วิธีถือหุ้นแบบ High Conviction 20-40 บริษัท และบางบริษัทมีสัดส่วนสูง 8-10% ของกองทุนรวม ทำให้เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง เหมาะกับการเก็งกำไรเป็นรอบมากกว่าการ DCA ระยะยาว

DAOL-DEFENSE จะมีความเสี่ยงต่ำกว่า เหมาะกับนักลงทุนที่อยากลงทุนในธีมนี้แบบกระจายการลงทุนไปยังหลายประเทศ โดยเน้นลงทุนในสหรัฐอเมริกา สอดรับกับสถานการณ์ภาพใหญ่ที่หลายภูมิภาคจะลงทุนด้านการทหารเพิ่มขึ้น

ในทางกลับกัน ASP-DEFENSE จะมีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะกองทุนนี้ลงทุนเฉพาะหุ้นในยุโรปเท่านั้น เน้นไปที่การเติบโตและการเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมใหม่ในประเทศ มีปัจจัยและนโยบายสนับสนุนชัดเจนจนถึงปี 2030

หาไอเดียเลือกกองทุนรวมแบบมีผู้ช่วยให้คำแนะนำ สอบถามข้อมูลหรือคำแนะนำการลงทุนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน)

#BeyondWealth #MutualFund

ข่าวอัพเดทล่าสุด

เมื่อหลายประเทศ ‘ไม่วางใจกัน’ การลงทุนทางการทหารกลายเป็นเรื่องจำเป็น


เมื่อหุ้นเทค ‘ยังไปต่อ’ แต่นักลงทุนเริ่มกังวล


AI มาแล้ว... แต่ “ไฟฟ้า” กำลังกลายเป็นคอขวดใหม่ของโลกเทคโนโลยี


3 กองทุนรวม “ควอนตัมคอมพิวเตอร์” เทคโนโลยีที่จะช่วยประหยัด ‘งานคำนวณ’ จากหลัก 10 ปี ให้จบในไม่กี่นาทีได้!



Copyright © 2020 Beyond Securities Public Company Limited. All rights reserved. | นโยบายความเป็นส่วนตัวและนโยบายการใช้คุกกี้