
ช่วงนี้เลื่อนฟีดการเงิน จะเห็นว่าหลายคนพูดถึง S&P 500 กันมากขึ้น 📈 แต่จริง ๆ แล้ว S&P 500 คืออะไร และคนไทยลงทุนได้ยังไงบ้าง?
S&P 500 คืออะไร ?
S&P 500 ไม่ใช่ชื่อหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่เป็น "ดัชนี" ที่เปรียบเสมือนทีมรวมดาราที่คัดเลือกบริษัทที่ใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา 500 บริษัทมารวมไว้ในที่เดียว ลองนึกภาพบริษัทที่เราคุ้นเคยและใช้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น Apple (ผู้ผลิต iPhone), Microsoft (เจ้าของ Windows), Amazon (เว็บไซต์ E-commerce ยักษ์ใหญ่), Al(phabet (บริษัทแม่ของ Google) หรือแม้แต่ Tesla (ผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า) ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของดัชนี S&P 500
การลงทุนใน S&P 500 จึงเปรียบได้กับการซื้อหุ้นของบริษัทชั้นนำ 500 แห่งพร้อมกันในครั้งเดียว ซึ่งครอบคลุมมูลค่าตลาดรวมกว่า 80% ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ การเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 จึงสามารถสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจอเมริกาได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่น่าสนใจคือผลตอบแทนในระยะยาว โดยในอดีตที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี แม้ในบางช่วงเวลาอาจต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เช่น วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 หรือการระบาดของโควิด-19 แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าดัชนีสามารถฟื้นตัวและกลับมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้เสมอ
นักลงทุนระดับตำนานอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงกับเคยกล่าวไว้ว่า "สำหรับคนส่วนใหญ่ การลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด" เพราะเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในบริษัทชั้นนำจำนวนมาก โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเลือกหุ้นรายตัว และยังมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำอีกด้วย
ในปัจจุบัน การลงทุนในดัชนีระดับโลกอย่าง S&P 500 ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางที่หลากหลาย โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศให้ยุ่งยาก โดยสามารถแบ่งช่องทางการลงทุนหลัก ๆ ได้ดังนี้
1. ลงทุนในกองทุน ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
เป็นวิธีการลงทุนโดยตรงในกองทุนที่ซื้อขายเสมือนหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก มีข้อดีคือค่าธรรมเนียมการจัดการ (Expense Ratio) ที่ต่ำมาก ๆ ตัวอย่างเช่น
• VOO (Vanguard) และ IVV (iShares) มีค่าธรรมเนียม 0.03% ต่อปี
• SPLG (SPDR) มีค่าธรรมเนียม 0.02% ต่อปี
• SPY (SPDR) มีค่าธรรมเนียม 0.09% ต่อปี
การลงทุนใน ETF เหล่านี้สามารถทำได้ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ เช่น Beyond Global trade เป็นต้น
2. กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ในประเทศไทย
เป็นช่องทางที่สะดวกที่สุดสำหรับนักลงทุนไทย โดยสามารถลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต่าง ๆ ในประเทศได้ แม้จะมีค่าธรรมเนียมการจัดการ (Expense Ratio) ที่สูงกว่า ETF ของสหรัฐฯ โดยมีค่าใช้จ่ายรวมอยู่ระหว่างประมาณ 0.5% - 1.8% ต่อปี แต่ก็แลกมาด้วยความสะดวกสบาย ที่นักลงทุนไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศ สามารถซื้อผ่านโบรกเกอร์ไทยได้เลย ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายนโยบาย ทั้งแบบป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedged) และไม่ป้องกันความเสี่ยง (Unhedged) เพื่อให้นักลงทุนเลือกให้เหมาะกับมุมมองและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ตัวอย่างกองทุนที่น่าสนใจมีมากมาย เช่น
• กองทุนจาก บลจ. แอสเซท พลัส (ASP-S&P500)
• กองทุนจาก บลจ. กสิกรไทย (K-US500X-A(A))
• กองทุนจาก บลจ. กรุงศรี (KFUSINDX-A)
• กองทุนจาก บลจ. เกียรตินาคินภัทร (KKP US500-H)
• กองทุนจาก บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBS&P500A)
สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนใน S&P 500 พร้อมกับได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี ก็สามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในดัชนี S&P 500 ได้เช่นกัน ถือเป็นการวางแผนเกษียณและวางแผนภาษีไปพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น
• ESUS500RMF
• K-US500XRMF
• SCBRMS&P500
จะเห็นได้ว่า S&P 500 เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ทรงพลังซึ่งเข้าถึงได้หลายช่องทาง ให้ บล.บียอนด์ เป็นผู้ช่วยสร้างความสำเร็จให้พอร์ตของคุณ ด้วยบริการที่ปรึกษาการลงทุนจากทีมงานมืออาชีพผู้เชี่ยวชาญ เราจะช่วยวิเคราะห์ คัดเลือกกองทุนที่ใช่สำหรับเป้าหมายของคุณและพร้อมดูแลพอร์ตอย่างใกล้ชิดเพื่อความสำเร็จทางการเงินที่ยั่งยืนต่อไป
✔ ติดต่อเพื่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญของเราทันที: https://lin.ee/INNrmFP
#SP500 #ลงทุนต่างประเทศ #BeyondSecurities #เริ่มต้นง่ายกับบียอนด์